007พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ
007พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ เรื่อง 007 No Time to Die (2021) ประเภทหนัง: Action, Adventure, Thriller “พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ” เจมส์ บอนด์ได้ทิ้งความช่วยเหลือเกื้อกูลพิเศษไว้ ความสงบสุขของเขาสั้นลงเมื่อเฟลิกซ์ ไลเตอร์ เพื่อนเก่าแก่จาก CIA เอ่ยถึงความช่วยเหลือเกื้อกูล ส่งเสริมให้บอร์นไปสู่ทางของวายร้ายลึกลับที่ตกแต่งด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ปลอดภัย
บอร์นได้ทิ้งความช่วยเหลือเกื้อกูลที่ไม่มีใครเหมือนและมีส่วนร่วมในชีวิตอันสงบเงียบในจาไมก้า . ความเงียบของเขาเกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวเมื่อเฟลิกซ์ ไลเตอร์ เพื่อนฝูงซีไอเอที่อายุยืนยาวของเขามากล่าวถึงการช่วยเหลือ
ภารกิจในการคุ้มครองป้องกันผู้เชี่ยวชาญที่ถูกจับได้ทำให้หลงผิดมากกว่าที่คาดไว้อย่างไม่ต้องสงสัย สนับสนุนให้บอร์นเข้าสู่เส้นทางของการประณามที่ไม่ชัดเจนพร้อมด้วยการพัฒนาใหม่ที่ไม่ปลอดภัย
หนังเริ่มหันไปเน้นหนักกับการเดินเรื่องมากขึ้น ซึ่งนั่นก็คงไม่ผิด เพราะว่าในคราวนี้ เราจะได้มองเห็น เจมส์ บอนด์ ในเวอร์ชันที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุด เขาคือสายที่อยากจะมีชีวิตอย่างคนธรรมดากับหญิงที่เขารัก แต่ก็ดูราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าจะขีดเส้นไว้แล้วว่า เขาคงจะไม่มีวันทำแบบนั้นได้ แม้กระทั่งเขากับแมเดลีนรักกันมากมากแค่ไหน แม้กระนั้นโลกนี้ก็ยังมีวายร้ายตัวใหม่ๆมาให้ยอดเยี่ยมสายระดับพระรอยแดงต้องคอยกลับมาปรับปรุงอยู่เรื่อย
เจมส์ บอนด์ ที่มีหัวใจมากขึ้น
เจมส์ บอนด์ ในเวอร์ชันของ Daniel Craig/แดเนียล เคร็ก 007พยัคฆ์ร้าย ฝ่าเวลามรณะ กลายเป็นคนที่มีจุดอ่อน มีวันที่ทำผิดพลาด มีเศร้าใจ มีดราม่า ชี้ว่าแม้เป็นพยัคฆินทร์ร้ายแต่ว่าก็มีหัวใจ แถมยังมีความเท่ เคร่งขรึม แล้วก็ความดุเดือด
ด้านตัวร้ายอย่าง ซาฟิน ดูอย่างกับว่าหนังจะปูเรื่องในตอนต้นให้มองมีความระทึกขวัญ หนังใส่หน้ากากให้กับตัวร้าย สร้างความลี้ลับน่าหวาดหวั่นให้ผู้ชมอยู่ไม่น้อย ก่อนจะถอดหน้ากากทิ้งไปและไม่ได้ช่วยเหลือให้กำเนิดความน่าเกรงขามอะไรมากนัก หากแม้ Rami Malek จะเล่นเอาไว้ได้ออกจะดีก็ตาม
สรุปโดยภาพรวมแล้ว No Time to Die 007 พยัคฆินร้ายฝ่าเวลามรณะ
ก็เลยเป็นภาพยนตร์ภาคจบของสายลับอังกฤษเวอร์ชั่น แดเนียล เคร็ก ที่ทำออกมาได้อยู่ในระดับค่อนข้างไม่ดี ไม่ถึงกับขนาดน่าประทับใจด้วยเหตุว่ามีจุดติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็ยังปิดจบได้งามซาบซึ้ง ด้วยเนื้อเรื่องที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ภาค Casino Royale เป็นต้นมา ด้านตัวร้ายภาคนี้อยู่ในระดับกลางไม่เก่ง ไม่น่าถูกใจ
แต่ว่าไม่ใช่ตัวร้ายที่ห่วยสุดของเคร็ก 007พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ ฉากแอ็คชั่นมีเรื่อยตลอดทั้งเรื่อง เวอร์บ้าง ระห่ำเป็นแรมโบ้บ้าง กระทั่งมีความคิดว่าบอนด์น่าจะตายตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว โปรดัคชั่นในภาพรวมยังคงยิ่งใหญ่อลังการสมแฟรนไชส์ สำคัญๆก็เพราะการมีฉากแอ็คชั่นแบบถล่มเละกันอีกทั้งเรื่องนั่นแล นอกนั้นหนังยังเต็มไปด้วยการถ่ายทำรอบโลก มีทั้งฉากสวยงามตามธรรมชาติเมือง และก็ฉากสร้างที่ดูยิ่งใหญ่…ผู้ใดกันแน่เป็นคนชอบดูหนัง 007 เวอร์ชั่
เรื่องย่อ แดเนียล เคร็ก กลับมารับบท เจมส์ บอนด์ เป็นครั้งที่ 5 ในภาพยนตร์ James Bond ซึ่งเป็นภาคที่ 25 โดยใช้ชื่อว่า No Time To Die (007 พยัคฆินทร์ร้ายฝ่าเวลามรณะ) ภาพยนตร์ดูแลโดย แครี่ โจจิ ฟูกุนากะ
ใน No Time To Die เจมส์ บอนด์กำลังสนุกไปกับชีวิตอันสงบเงียบในจาไมก้า แต่ระยะเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆด้วยเหตุว่าเฟลิกซ์ เลเทอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยดำเนินการ จุดหมายเป็นช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้มองชั่วร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์จำต้องเข้าไปพบเจอกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ
นอกจาก แดเนียล เคร็ก แล้ว ภาพยนตร์ 007พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ ยังได้ผู้ครอบครองรางวัลออสการ์อย่างรามี มาเลค มาร่วมงานด้วย รวมทั้งดาราอีกเยอะแยะ เป็นต้นว่า เลอา เซย์ดูว์, ลาชาน่า ลินช์, เบน วิชอว์, นาโอมิ แฮร์ริส, เจฟฟรี่ย์ ไรท์, คริสทอฟ วอลทซ์ และเรล์ฟ ไฟนส์ ในบท “เอ็ม” ร่วมด้วย รอรี่ คินเนียร์ รวมทั้ง อทุ่งนา เดอ อาร์มัส
องค์ประกอบที่ทำให้ No Time to Die สะดุดตาต้องใจ
หนังยังคงเต็มไปด้วยของเด็กเล่นเครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคที่มาจากความอัจฉริยะของ คิว (Ben Whishaw) พลาธิการสุดเนิร์ดที่แจกให้บอนด์ได้เล่นทั้งยังนาฬิการะเบิดหัว เครื่องบินสุดไฮเทค และก็ที่ต้องมีให้ได้ก็คงจะเป็นรถยนต์คู่กาย แอสตัน มาร์ติน DB5 ที่เพิ่มเติมอาวุธสุดว้าวเข้าไปด้วย
ภาคนี้ เขานำตัวละครสำคัญกลับมาอย่างครบถ้วน นอกจากที่เขียนถึงไปและก็ยังมี มันนี่เพนนี (Naomie Harris), เฟลิกซ์ ไลเทอร์ (Jeffrey Wright) คนนี้สำคัญด้วยเหตุว่าเป็นผู้ที่ชวนเขาทำภารกิจลับช่วยวัลโด (David Dencik) นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป แล้วหลังจากนั้นก็ยังมี แทนเนอร์ (Rory Kinnear), โบลเฟลด์ (Christoph Waltz)
ในภาคนี้ มีคนสวยที่นายแพทชื่นชอบอยู่สองคน หนึ่งเป็น แมเดลีน (Léa Seydoux) ที่เป็นผู้หญิงที่ตกหลุมรักบอนด์อย่างหมดใจ แม้กระนั้นในขณะเดียวกันก็ปกปิดความลับไว้ไม่ยอมเฉลยสักที เธอเป็นคนที่ใช้แววตาแสดงอารมณ์ได้ดี วินาทีครั้งเสียน้ำตา หัวใจผมแทบจะสลายตามไป กับอีกคน ผู้ช่วยคนสวยของบอนด์ เป็นสายลับคนใหม่จากประเทศคิวบา เธอคือ พาโลมา (Ana de Armas จากหนังเรื่อง Knives Out และ Blade Runner 2049) ที่บู๊แหลกในชุดเปิดหลังได้สุดมันจริงๆ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ เจมส์ บอนด์ ได้วางมือจากการเป็นนักสืบรับใช้ทางการมาแล้ว 5 ปี เขาก็เริ่มดำรงชีวิตสุขสงบสุดแสนธรรมดาอย่างที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับกับ ดร.เมเดอลีน (เลอา เซย์ดูซ์) คู่รักของเขา อยู่ในจาเมกา แม้กระนั้นแล้วภารกิจที่มาพร้อมทั้งภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ก็ได้วนกลับมาพบเห็นกับเขาอีกที
เมื่อ ฟีลิกซ์ ไลเทอร์ (เจฟฟรีย์ ไรท์) เพื่อนเก่าจากซีไอเอเผยตัวขึ้น แล้วก็ได้ขอให้เขากลับสู่วงการ ออกไล่ล่าตัวคนร้าย เพื่อช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่ถูกลักพาตัวไป แม้กระนั้นเมื่อบอนด์ตัดสินใจทำภารกิจ เขาก็ได้พบกับร่องรอยองค์ประกอบทีละชิ้น 007พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ ไปจนกระทั่งอาวุธฆ่าที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ซึ่งมีอานุภาพรุนแรงเกินกว่าคนไหนกันแน่จะจินตนาการถึง เนื่องจากว่ามันสามารถล้างผลาญโลกได้ไม่ยากเพียงแต่พริบตาเดียว!
ส่วนที่ทำให้ เจมส์ บอนด์ ของ แดเนียล เคร็ก ผิดแผกแตกต่างจากบอนด์คนอื่นๆอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมทั้งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตฟักฟูมมาตั้งแต่ทีแรก Casino Royale รวมทั้งขึ้นถึงจุดพีกใน Skyfall ก็คือการพลิกให้พวกเราได้เห็นอีกด้านหนึ่งของตัวละครนี้ ซึ่งไม่ใช่โหมดเสือร้ายสายลับ แต่เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ทราบร้อนทราบหนาว รู้สึกรู้สม ผิดหวังสมหวัง แอบซ่อนอดีตกาลที่ปวดทุกข์ใจ รวมทั้งในตอนที่เจ้าตัวพลั้งเผลอ ผู้ชมก็ได้รับรู้ด้านที่หวั่นไหวเปราะบาง
ความเป็นต่อของ แดเนียล เคร็ก มากกว่าผู้แสดงคนอื่นๆอยู่ตรงที่เขาไม่ได้เพียงแค่มารับช่วงต่อติดอยู่แรกเตอร์ เจมส์ บอนด์ แต่ทว่า Casino Royale (2006) เป็นการรีบู๊ต หรืออีกอย่างหนึ่ง เป็นเสมือนการล้างไพ่ครั้งมโหฬาร และก็มันมีส่วน (ไม่มากก็น้อย) ช่วยให้เคร็กไม่ต้องแบกรับข้อตกลง ขนบแบบแผนที่ตกทอดกันมายาวนานกระทั่งเริ่มงุ่มง่ามมากยิ่งขึ้นแล้วก็สามารถไปต่อได้ในแนวทางของตนที่ไม่รุ่มร่ามเกินความจำเป็นนัก
ส่วนที่ทำให้ เจมส์ บอนด์ ของ แดเนียล เคร็ก ผิดแผกจากบอนด์คนอื่นอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมทั้งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตกล่อมเกลี้ยงมาตั้งแต่ตอนแรก Casino Royale แล้วก็ขึ้นถึงจุดพีกใน Skyfall ก็คือการกลับให้เราได้มองเห็นอีกด้านหนึ่งของตัวละครนี้ ซึ่งไม่ใช่โหมดพยัคฆินทร์ร้ายสาย แต่ทว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนที่รู้ร้อนทราบหนาว รู้สึกทราบสม ผิดหวังสมหวัง แอบซ่อนสมัยก่อนที่เจ็บขมขื่น และก็ในช่วงที่เจ้าตัวพลั้งพลาด ผู้ชมก็ได้รับรู้ด้านที่อ่อนไหวบอบบาง
ความได้เปรียบของ แดเนียล เคร็ก มากยิ่งกว่าดาราหนังคนอื่นอยู่ตรงที่เขามิได้เพียงแค่มารับช่วงต่อคาแรกเตอร์ เจมส์ บอนด์ ทว่า Casino Royale (2006) เป็นการรีบู๊ต หรืออีกความหมายหนึ่ง เป็นเสมอเหมือนการล้างไพ่ครั้งใหญ่โต แล้วก็มันมีส่วน (ไม่มากก็น้อย) ช่วยให้เคร็กไม่ต้องแบกรับข้อจำกัด ขนบแบบแผนที่สืบทอดกันมายาวนานจนกระทั่งเริ่มเทอะทะมากขึ้นเรื่อยๆและสามารถไปต่อได้ในวิธีของตัวเองที่ไม่รุ่มร่ามเหลือเกินนัก
